ปี พ.ศ.2560เป็นปีทองของเกษตรกร เนื่องจากฝนตกตามฤดูาลต่อเนื่องไม่ทิ้งช่วง เริ่มตั้งแต่วันที่ 7/09/2560(ซึงเป็นนวันเกิดข้าพเจ้า) ถึงวันที่ 31/10/2560 พื้นที่แถบศรีราชาฝนได้ตกทุกวัน ในตอนเช้าท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยน้ำ แต่ส่วนใหญ่ฝนจะไปตกเอาตอนบ่ายๆทำให้สภาพอากาศดีอยู่สบาย ยินแว่วๆว่ามวลน้ำจากทางเหนือจะเข้ามาสุมกันให้อ่วมกรุงเทพแต่ก็ไม่เห็นมีข่าวช่องใหนรายงานกันอย่างจริงจัง คงเป็นเพราะรัฐบาลทหารบริหารบ้านเมืองได้ดีแก้ปัญหาได้หมด. 1/11/2560อากาศหนาวเริ่มมาตามแกนโลกที่หมุนเปลี่ยน แต่ก็มีการประทะกันเล็กน้อยระหว่างลมฝนที่ยังไปไม่หมดกับลมหนาวที่จะเข้ามาแทนที่ วันลอยกระทงปีนี้(3/11/2560)จึงจัดกิจกรรมกันอย่างได้บรรยากาศ พระจันทร์แจ่มกระจ่างและเป้นวันศุกร์ต้นๆเดือนด้วยทุกอย่างจึงลงตัว แต่จนถึงวันที่11-12-13/11/2560ได้พายุฝนพัดผ่านประเทศไทยอีกครั้งหรือถ้าจะเรียกกันแบบบ้านๆว่าฝนหลงฤดูทำให้ปลาที่กำลังมุ่งลงหนองคลองบึงก็งงและลังเล ชาวบ้านที่จังหวัดศรีสะเกษก็ได้ปลามาทำปลาร้ากันคนละหลายให
บันทึกความรู้สึกดีๆไว้ทวนความจำ
[26/12/2560]
ขอบันทึกสภาพอากาศเพิ่มเติม วันที่15-16/12/2560 ได้เกิดฝนตกฟ้าคะนองอย่างแรงที่เขตบ้านข้าพเจ้า ซึ่งเป้นเรื่องที่แปลกมากเพราะมันอยู่ในช่วงๆกลางฤดูหนาวแล้ว ผมตวงน้ำได้เต็มถังสีฟ้าขนาด300ลิตร และถัดมาเพี่ยงไม่กี่ชั่วโมง ประมาณเที่ยงคืนวันเสาร์ย่างวันอาทิตย์ที่17/12/2560อากาศหนาวก็เข้ามาแทน อุณหภูมิระดับไม่ถึง10องศาทำให้หลายคนมีเหตุผลที่จะงดอาบน้ำตามกระแส
อากาศหนาวคงๆที่ได้อาทิตย์กว่าๆถึงวันที่22/12/2560ก็เริ่มอุ่นขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าเดินทางไปบ้านนอกจึงเป็นการเดินทางที่สบายๆเพื่อไปหาลูกที่สกลนคร แต่ก็มีเซอร์ไพรส์อีกครั้งเกิดขึ้นได้ ในคืนวันครีสต์มาสเข้าเช้าตรู่วันที่26/12/2560ได้มีละอองฝนมาทักทาย ข้าพเจ้าได้ออกมาสำรวจควมเรียบร้อยนอกบ้านแล้วกลับเข้าที่นอน คิดว่าสักพักก็คงหยุดเพราะหัวเย็นท้องฟ้าแจ่มใสระดับมองเห็นดาวลูกไก่ครบ7ตัว กลายเป็นภายุฝนตกต่อเนื่องไปซะได้,
Administrator
13/11/2560
รวบรวมบันทึกเรื่องเล่าอิงประวัตศาสตร์ ของบ้านไพรพะยอม ตำบล.กล้วยกว้าง, อำเภอ.ห้วยทับทัน, จังหวัด.ศรีสะเกษ และบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สรุปประเด็นที่ได้จากวงเหล้าชาวบ้านไพรพะยอม
บันทึกเรื่องราวหรือไอเดียดีๆที่ผุดขึ้นมาในวงเหล้าของคนบ้านไพรพะยอม ทั้งนี้เพราะส่วนใหญ่ที่คุยกันแล้วจะทิ้งไปไม่มีการติดตาม
15/08/2017 สรุปประเด็นเสวนา
1.การเครียเรื่องผลประโยชน์และหนี้สิน
2.การวางระยะห่างความสัมพันธ์(อธิบายยากนะ)
3.เทคนิคการอยู่ร่วมกัน(เกมที่วินกันทุกฝ่าย)
4.การกระตุ้นให้เกิดงาน(จุดประกายความคิดให้คน)
5.การคอยช่วยเหลือสังคมอย่างเงียบๆ
5.จำบ่ได้.คงต้องมีไฟ้ท์หน้า
24/08/2017 ปอลอทูเดย์
ปล1.การช่วยเหลือกันของชาวบ้านไพรพะยอมที่ไม่มีระบบระเบียบทำให้เกิดภาวะพันละวนอนละเวง
ปล2.ปลวกที่เราพยามหาทางกำจัดมันมานาน แต่ถ้าลองศึกษาเข้าใจมันก็ทำให้รวยได้ นะจ๊ะ
ปล3.จังหวะชีวิตจะช่วยแบ่งเบาความสามารถ ถ้าจังหวะดีไม่ต้องสามารถเยอะก็สำเร็จได้
ปล4.แนะเปลี่ยนซื่อบริษัทเพื่อขยายงานให้เฉพาะทางมากจึ้น(เขียนให้งง)
ปล5.สังเกตุวีถึซีพีเวย์.ในเรื่องที่ดีและไม่ดี ต้องคิดเองไม่มีในตำราและอย่าตกเป็นเหยื่อ
31/08/2017 Meeting evening
#ในองค์กรมักมีการเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานทั้งดีขึ้นและแย่ลงจะแก้ยังไง(เช่นสร้างเจนเนอเรชั่นใหม่ขึ้นมาแทน)
#การเสวนาในวงเหล้าหากเป็นผู้ฟังอย่างเดียว อาจจะทำให้จำเรื่องราวไม่ค่อยได้(ต้องจด)
#หากสังเกตุคนรวยถึงจะเห็นใช้เงินฟู่ฟ่าบางครั้งแต่การใช้เงินปรกตินั้นจะมัธยัสกว่าเรามากๆ
#ย้ำเรื่องการเปลี่ยนซื่อ.เพิ่มวัตถุประสงค์ของบริษัท
07,08/09/2017 Dusk associate
#dnaพ่อแม่สู่ลูกนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของพ่อแม่ในช่วงก่อนให้กำเนิดด้วย
#ปัญหาความมุ่งมั่นของคนบ้านเราจะแก้ไขได้ยังไง(เราก็มีปัญหานี้)
#การเริ่มทำธุรกิจนั้นอาจจะไม่ต้องเก่งในงานมากหรือใช้เงินมาก แค่วางแผนให้ธุรกิจอยู่ได้นานๆ(เกิน3ปี)
#งานโครงการหรือบริษัทใหญ่ๆมักลดพนักงานประจำแล้วใช้เกมไฟลนก้นจี้ให้งานเดิน
#ถ้าติดต่องานสะดุดในเรื่องข้อมูลให้พูดดึงไปเรื่องอื่นก่อนแล้วคิดหาคำตอบ(แยกประสาทให้ได้)
#พยายามคิดหาทางเผื่อไว้ หากงานที่ทำอยู่มีปัญหาซบเซา
Administrator
25-August-2017
15/08/2017 สรุปประเด็นเสวนา
1.การเครียเรื่องผลประโยชน์และหนี้สิน
2.การวางระยะห่างความสัมพันธ์(อธิบายยากนะ)
3.เทคนิคการอยู่ร่วมกัน(เกมที่วินกันทุกฝ่าย)
4.การกระตุ้นให้เกิดงาน(จุดประกายความคิดให้คน)
5.การคอยช่วยเหลือสังคมอย่างเงียบๆ
5.จำบ่ได้.คงต้องมีไฟ้ท์หน้า
24/08/2017 ปอลอทูเดย์
ปล1.การช่วยเหลือกันของชาวบ้านไพรพะยอมที่ไม่มีระบบระเบียบทำให้เกิดภาวะพันละวนอนละเวง
ปล2.ปลวกที่เราพยามหาทางกำจัดมันมานาน แต่ถ้าลองศึกษาเข้าใจมันก็ทำให้รวยได้ นะจ๊ะ
ปล3.จังหวะชีวิตจะช่วยแบ่งเบาความสามารถ ถ้าจังหวะดีไม่ต้องสามารถเยอะก็สำเร็จได้
ปล4.แนะเปลี่ยนซื่อบริษัทเพื่อขยายงานให้เฉพาะทางมากจึ้น(เขียนให้งง)
ปล5.สังเกตุวีถึซีพีเวย์.ในเรื่องที่ดีและไม่ดี ต้องคิดเองไม่มีในตำราและอย่าตกเป็นเหยื่อ
31/08/2017 Meeting evening
#ในองค์กรมักมีการเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานทั้งดีขึ้นและแย่ลงจะแก้ยังไง(เช่นสร้างเจนเนอเรชั่นใหม่ขึ้นมาแทน)
#การเสวนาในวงเหล้าหากเป็นผู้ฟังอย่างเดียว อาจจะทำให้จำเรื่องราวไม่ค่อยได้(ต้องจด)
#หากสังเกตุคนรวยถึงจะเห็นใช้เงินฟู่ฟ่าบางครั้งแต่การใช้เงินปรกตินั้นจะมัธยัสกว่าเรามากๆ
#ย้ำเรื่องการเปลี่ยนซื่อ.เพิ่มวัตถุประสงค์ของบริษัท
07,08/09/2017 Dusk associate
#dnaพ่อแม่สู่ลูกนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของพ่อแม่ในช่วงก่อนให้กำเนิดด้วย
#ปัญหาความมุ่งมั่นของคนบ้านเราจะแก้ไขได้ยังไง(เราก็มีปัญหานี้)
#การเริ่มทำธุรกิจนั้นอาจจะไม่ต้องเก่งในงานมากหรือใช้เงินมาก แค่วางแผนให้ธุรกิจอยู่ได้นานๆ(เกิน3ปี)
#งานโครงการหรือบริษัทใหญ่ๆมักลดพนักงานประจำแล้วใช้เกมไฟลนก้นจี้ให้งานเดิน
#ถ้าติดต่องานสะดุดในเรื่องข้อมูลให้พูดดึงไปเรื่องอื่นก่อนแล้วคิดหาคำตอบ(แยกประสาทให้ได้)
#พยายามคิดหาทางเผื่อไว้ หากงานที่ทำอยู่มีปัญหาซบเซา
Administrator
25-August-2017
วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560
นิยามของปรัชญาและความหมาย
การนิยามความหมายของคำว่า “Philosophy” มีลักษณะตามที่กล่าวมาแล้วเฉพาะตอนต้นของสมัยกรีกเท่านั้น ต่อมาความหมายของปรัชญาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของแนวความคิด และสภาวะแวดล้อม
นักปรัชญาบางคน ให้ความหมายอันแท้จริงของปรัชญาว่า หมายถึงหลักแห่งความรู้และความจริงอันสูงสุด อันเป็นอันติมะ ส่วนนักปรัชญาบางกลุ่มก็นิยามความหมายว่า ปรัชญา คือความรู้ที่สากลและจำเป็น (Universal and Necessary Knowledge) ที่บอกว่าเป็นความรู้ที่สากล (Universal Knowledge) เพราะเป็นความรู้ที่ใช้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ ที่บอกว่าเป็นความรู้ที่จำเป็น (Necessary Knowledge) เพราะเป็นความรู้ที่จำเป็นต้องรู้และจำเป็นสำหรับสรรพวิชา เนื่องจากวิชาทั้งปวงต้องมีปรัชญาเป็นหลัก
ด้วยเหตุที่ปรัชญามีลักษณะกว้างมาก จึงมีนักปรัชญาและนักภาษาศาสตร์หลายท่าน ตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งปัจจุบัน ที่พยายามจะนิยามความหมาย หรือให้ข้อจำกัดความของคำว่า “ปรัชญา” เอาไว้ อาทิเช่น
เพลโต้(Plato) กล่าวว่า “ปรัชญา คือการศึกษาหาความรู้เรื่องสิ่งที่เป็นนิรันดรและความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น หรือธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย กล่าวคือปรัชญามุ่งที่จะให้รู้สิ่งที่เป็นนิรันดรและธรรมชาติแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย”
อริสโตเติ้ล (Aristotle) กล่าวว่า “ปรัชญา เป็นศาสตร์ที่ค้นคว้าหาความแท้จริงของสิ่งที่มีอยู่โดยตัวเอง”
ค้านท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “ปรัชญา คือศาสตร์ที่ว่าด้วยความรู้และการวิเคราะห์วิจารณ์หรือการตรวจสอบความรู้”
เจมส์ (William James) กล่าวว่า “ปรัชญา คือหลักการที่ใช้อธิบายความเป็นมาของสิ่งทั้งปวง โดยไม่มีการยกเว้น”
คองท์ (Auguste Comte) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า “ปรัชญา คือศาสตร์แห่งศาสตร์ทั้งปวง”
สิทธิพร (Sittiporn Sornpanya) กล่าวว่า "ปรัชญาคือการไขปริศนาธรรมชาติ ที่มีอยู่มาช้านาน"
ศรัณย์ วงศ์คำจันทร์ ให้ข้อจำกัดความของปรัชญาเอาไว้ว่า “ปรัชญา คือวิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริงของสิ่งต่าง ๆ ในโลก พยายามค้นหาเหตุผล ความรู้ที่แท้จริงแน่นอน ที่สามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ เป็นวิชาที่แสดงออกให้เห็นถึงความคิดและวิวัฒนาการแห่งความคิดของมนุษย์อีกด้วย เพราะนักปรัชญามีอิสระที่จะคิด ค้นคว้าสิ่งต่าง ๆ ตามประสบการณ์ ความเชื่อ และความยึดถือของตน”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญมี แท่นแก้ว และสถาพร มาลีเวชพงศ์ ให้ข้อจำกัดความของปรัชญาเอาไว้ว่า “ปรัชญา คือวิชาที่คิดหาเหตุผลตามหลักตรรกวิทยาเพื่อเข้าถึงความจริง”
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ข้อจำกัดความของปรัชญาเอาไว้ว่า “ปรัชญา คือวิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง”
ในหนังสือสารานุกรมชุดเวิลด์บุ๊ค (The World Book Encyclopedia) ได้ให้ความหมายว่า “ปรัชญา คือการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ และสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ในจักรวาล”
จากการนิยามความหมายหรือข้อจำกัดความเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า ปรัชญาคือหลักแห่งความรู้และความจริง หลักแห่งการแสวงหาความรู้ แสวงหาความจริง และหลักแห่งการค้นคว้าหาเหตุผลและหามาตรการในการตัดสินเกี่ยวกับธรรมชาติ หรือความแท้จริงของสรรพสิ่งในโลก
ปรัชญา จึงมีลักษณะครอบคลุมศาสตร์ทั้งปวง ในปัจจุบันจึงไม่นิยมที่จะให้คำจำกัดความของปรัชญา แม้จะมีอยู่ก็มีลักษณะที่กว้างที่สุด เช่น ปรัชญา เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักการ (Science of Principle) ซึ่งมีลักษณะที่กว้างมาก เพราะหลักการ หรือทฤษฎีนั้น เป็นหัวใจของศาสตร์ทุกแขนง ด้วยเหตุที่ว่าศาสตร์ใดขาดหลักการหรือหลักปรัชญา ก็ย่อมเป็นศาสตร์ไม่ได้ นักปราชญ์ท่านจึงกล่าวว่า ไม่มีศาสตร์ใดจะสมบูรณ์ ถ้าขาดหลักปรัชญา (No Science is complete without Philosophy)
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราอาจสรุปได้ว่า ปรัชญาเป็นความรู้ที่สากลและจำเป็น กล่าวคือใช้ได้กับทุกวิชา และทุกวิชาต้องมีหลักปรัชญาด้วย
Administrator
Sittiporn Sornpanya
10-08-2017
นักปรัชญาบางคน ให้ความหมายอันแท้จริงของปรัชญาว่า หมายถึงหลักแห่งความรู้และความจริงอันสูงสุด อันเป็นอันติมะ ส่วนนักปรัชญาบางกลุ่มก็นิยามความหมายว่า ปรัชญา คือความรู้ที่สากลและจำเป็น (Universal and Necessary Knowledge) ที่บอกว่าเป็นความรู้ที่สากล (Universal Knowledge) เพราะเป็นความรู้ที่ใช้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ ที่บอกว่าเป็นความรู้ที่จำเป็น (Necessary Knowledge) เพราะเป็นความรู้ที่จำเป็นต้องรู้และจำเป็นสำหรับสรรพวิชา เนื่องจากวิชาทั้งปวงต้องมีปรัชญาเป็นหลัก
ด้วยเหตุที่ปรัชญามีลักษณะกว้างมาก จึงมีนักปรัชญาและนักภาษาศาสตร์หลายท่าน ตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งปัจจุบัน ที่พยายามจะนิยามความหมาย หรือให้ข้อจำกัดความของคำว่า “ปรัชญา” เอาไว้ อาทิเช่น
เพลโต้(Plato) กล่าวว่า “ปรัชญา คือการศึกษาหาความรู้เรื่องสิ่งที่เป็นนิรันดรและความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น หรือธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย กล่าวคือปรัชญามุ่งที่จะให้รู้สิ่งที่เป็นนิรันดรและธรรมชาติแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย”
อริสโตเติ้ล (Aristotle) กล่าวว่า “ปรัชญา เป็นศาสตร์ที่ค้นคว้าหาความแท้จริงของสิ่งที่มีอยู่โดยตัวเอง”
ค้านท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “ปรัชญา คือศาสตร์ที่ว่าด้วยความรู้และการวิเคราะห์วิจารณ์หรือการตรวจสอบความรู้”
เจมส์ (William James) กล่าวว่า “ปรัชญา คือหลักการที่ใช้อธิบายความเป็นมาของสิ่งทั้งปวง โดยไม่มีการยกเว้น”
คองท์ (Auguste Comte) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า “ปรัชญา คือศาสตร์แห่งศาสตร์ทั้งปวง”
สิทธิพร (Sittiporn Sornpanya) กล่าวว่า "ปรัชญาคือการไขปริศนาธรรมชาติ ที่มีอยู่มาช้านาน"
ศรัณย์ วงศ์คำจันทร์ ให้ข้อจำกัดความของปรัชญาเอาไว้ว่า “ปรัชญา คือวิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริงของสิ่งต่าง ๆ ในโลก พยายามค้นหาเหตุผล ความรู้ที่แท้จริงแน่นอน ที่สามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ เป็นวิชาที่แสดงออกให้เห็นถึงความคิดและวิวัฒนาการแห่งความคิดของมนุษย์อีกด้วย เพราะนักปรัชญามีอิสระที่จะคิด ค้นคว้าสิ่งต่าง ๆ ตามประสบการณ์ ความเชื่อ และความยึดถือของตน”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญมี แท่นแก้ว และสถาพร มาลีเวชพงศ์ ให้ข้อจำกัดความของปรัชญาเอาไว้ว่า “ปรัชญา คือวิชาที่คิดหาเหตุผลตามหลักตรรกวิทยาเพื่อเข้าถึงความจริง”
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ข้อจำกัดความของปรัชญาเอาไว้ว่า “ปรัชญา คือวิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง”
ในหนังสือสารานุกรมชุดเวิลด์บุ๊ค (The World Book Encyclopedia) ได้ให้ความหมายว่า “ปรัชญา คือการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ และสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ในจักรวาล”
จากการนิยามความหมายหรือข้อจำกัดความเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า ปรัชญาคือหลักแห่งความรู้และความจริง หลักแห่งการแสวงหาความรู้ แสวงหาความจริง และหลักแห่งการค้นคว้าหาเหตุผลและหามาตรการในการตัดสินเกี่ยวกับธรรมชาติ หรือความแท้จริงของสรรพสิ่งในโลก
ปรัชญา จึงมีลักษณะครอบคลุมศาสตร์ทั้งปวง ในปัจจุบันจึงไม่นิยมที่จะให้คำจำกัดความของปรัชญา แม้จะมีอยู่ก็มีลักษณะที่กว้างที่สุด เช่น ปรัชญา เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักการ (Science of Principle) ซึ่งมีลักษณะที่กว้างมาก เพราะหลักการ หรือทฤษฎีนั้น เป็นหัวใจของศาสตร์ทุกแขนง ด้วยเหตุที่ว่าศาสตร์ใดขาดหลักการหรือหลักปรัชญา ก็ย่อมเป็นศาสตร์ไม่ได้ นักปราชญ์ท่านจึงกล่าวว่า ไม่มีศาสตร์ใดจะสมบูรณ์ ถ้าขาดหลักปรัชญา (No Science is complete without Philosophy)
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราอาจสรุปได้ว่า ปรัชญาเป็นความรู้ที่สากลและจำเป็น กล่าวคือใช้ได้กับทุกวิชา และทุกวิชาต้องมีหลักปรัชญาด้วย
Administrator
Sittiporn Sornpanya
10-08-2017
แนวคิดให้จิตสงบและห่างทุกข์
แนวคิดให้จิตสงบและห่างทุกข์
การฝึกจิตใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านให้มีสมาธิและสติอยู่ตลอดเวลาเป็นโอวาทสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป. อ. ปยุตฺโต)ได้ชี้แนะให้ลองฝึกควบคุมจิตใจของตัวเอง และเมื่อทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเองจิตใจเราจะได้สงบและไม่เป็นทุกข์
1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป
2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย
3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง
4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว
5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติ ว่าอะไรๆก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย
6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา
7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจากความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน
8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละและยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมด เพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น
9.ไม่มีใครที่ใหนในโลกที่จะประเคนแต่ความสุขให้จนวันตาย หมายความว่า ชีวิตคนเรานั้นย่อมมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปจะหนักบ้างเบาบ้างก็ค่อยๆปรับกันไป พยายามปล่อยวางบ้าง ข้อนี้ข้าพเจ้าเขียนเพิ่มเติมเอง
อ่านแล้วหากเห็นด้วยก็ลองปฏิบัติดูครับ ผลย่อมเกิดกับตัวท่านเอง
Administrator
Sittiporn Sornpanya
10-08-2017
การฝึกจิตใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านให้มีสมาธิและสติอยู่ตลอดเวลาเป็นโอวาทสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป. อ. ปยุตฺโต)ได้ชี้แนะให้ลองฝึกควบคุมจิตใจของตัวเอง และเมื่อทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเองจิตใจเราจะได้สงบและไม่เป็นทุกข์
1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป
2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย
3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง
4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว
5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติ ว่าอะไรๆก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย
6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา
7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจากความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน
8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละและยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมด เพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น
9.ไม่มีใครที่ใหนในโลกที่จะประเคนแต่ความสุขให้จนวันตาย หมายความว่า ชีวิตคนเรานั้นย่อมมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปจะหนักบ้างเบาบ้างก็ค่อยๆปรับกันไป พยายามปล่อยวางบ้าง ข้อนี้ข้าพเจ้าเขียนเพิ่มเติมเอง
อ่านแล้วหากเห็นด้วยก็ลองปฏิบัติดูครับ ผลย่อมเกิดกับตัวท่านเอง
Administrator
Sittiporn Sornpanya
10-08-2017
วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560
แผนที่บ้านไพรพะยอมโดยกูเกิ้ล
ภาพถ่ายทางอากาศบ้านไพรพะยอม ถ่ายโดยดาวเทียมของกูเกิ้ล เดือนกันยายน ปี2015
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วิธีการ-ขั้นตอนการสนเครา(สนตะพาย)ควาย
เมื่อควายอายุประมาณ 1-2 ปี ชาวนาจะจับควายผูกติดกับต้นไม้แล้วใช้ไม้ไผ่ขนาดเท่าๆนิ้วก้อยเหลาปลายให้แหลมแทงเข้าไปที่เนื้อเยื่อด้านในจมูกของควายให้ทะลุถึงกัน จากนั้นรออีกประมาณ 30วันแผลก็จะหาย หลังจากนั้นจะใช้เชือกขนาดเท่านิ้วก้อยร้อยรูจมูกอ้อมมาทางด้านหลังเขาอ่อนแล้วมัดพอหลวมๆ เชือกนี้เรียกว่าเชือกเครา(เชือกมีลักษณะจะอ่อนๆ) เมื่อเวลาใช้งานชาวบ้านจะนำเชือกอีกเส้นมาผูกกับเชือกเคราอีกที ซึ่งจะผูกทางด้านขวาหรือซ้ายก็ได้ ถ้าหากผูกด้านซ้ายเมื่อเราดึงเชือกให้ตึงๆมือควายก็จะเลี้ยวไปทางซ้าย แต่ถ้าตะหวัดไปทางขวาควายก็จะเลี้ยวไปทางขวาและจะพูดว่า“พัด”
(ที่มา: ข้อมูลจากการพูดคุยไลน์กลุ่มชุมชนบ้านกระต่ำ)
(ที่มา: ข้อมูลจากการพูดคุยไลน์กลุ่มชุมชนบ้านกระต่ำ)
Download PDF file.
ยาสมุนไพรที่ใข้รักษาแผล
2) ขมิ้น
3) เสลดพังอน
4) สาบเสีอ
5) บัวบก
วิธีการเตรียมยาสมุนไพร
นำส่วนละเท่าๆกันบดให้ละเอียด หมักใส่เหล้าขาวทิ้งไว้1คืนก็ใช้ได้
ที่มา: ข้อมูลจากการพูดคุยไลน์กลุ่มชุมชนบ้านกระต่ำ[บ้านไพรพะยอม]
วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
บุญบั้งไฟบ้านไพรพะยอม[13-05-2560]
บุญบั้งไฟถือเป็นประเพณีอันสำคัญที่จะละเลยบ่ได้ หากหมู่บ้านใด๋บ่จัดงานบุญบั้งไฟก็สิก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่ผู้คนในชุมชน งานบุญบั้งไฟถือเป็นงานใหญ่ ลงทุนสูง การจัดงานจะต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของชุมชนหากปีได๋เศรษฐกิจในชุมชนฝืดเคืองอาจจะต้องงดจัดงาน ซึ่งต้องไปทำพิธีขอเลื่อนการจัดที่ศาลปู่ตาแทน สำหรับงานบุญบั้งไฟปีนี้ชาวบ้านไพรพะยอม(กระต่ำ)จัดขึ้นเพื่อฉลองหนองหวายที่มีการขุดลอกใหม่ด้วยพิธีเสนผี ทำขึ้นเพื่อทำให้บุคคลในครัวเรือนหรือในชุมชนรักสามัคคีและร่วมมือกันปฏิบัติตามพิธี ผีบรรพบุรุษจะได้พอใจรักและช่วยคุ้มครองป้องกันอันตราย
(ที่มา: Line;perapong samakphol)
(ที่มา: Line;perapong samakphol)
Download file PDF
ที่มา; ข้อมูลจากไลน์ชุมชนบ้านกระต่ำ(บ้านไพรพะยอม)
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วีดีโอบันทึกตำนานเรื่องอื่นๆที่ใกล้เคียง
ปราสาทปรางค์กู่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ประมาณ 70 กิโลเมตร สร้างด้วยอิฐเรียงแผ่นใหญ่เหมือนปราสาทศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นศาสนสถานสมัยขอมที่เก่าแก่ มีอายุกว่าพันปี ด้านหน้าปรางค์กู่ มีสระน้ำขนาดใหญ่เป็นทำเลพักหากินของนกเป็ดน้ำ ซึ่งมีมากในช่วงฤดูแล้งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
ขุขันธ์ เป็นอำเภอหนึ่งที่ขึ้นกับจังหวัดศรีสะเกษ เป็นอำเภอเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่มากับการตั้ง “เมืองขุขันธ์” ในอดีตมีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ โดยก่อนปี พ.ศ 2481 ใช้ชื่อว่า “อำเภอห้วยเหนือ” เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนชาติพันธุ์เขมรและกวย ซึ่งเรียกโดยรวมว่า เขมรป่าดง มีชุมชนที่สำคัญ คือ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน
ขุขันธ์ เป็นอำเภอหนึ่งที่ขึ้นกับจังหวัดศรีสะเกษ เป็นอำเภอเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่มากับการตั้ง “เมืองขุขันธ์” ในอดีตมีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ โดยก่อนปี พ.ศ 2481 ใช้ชื่อว่า “อำเภอห้วยเหนือ” เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนชาติพันธุ์เขมรและกวย ซึ่งเรียกโดยรวมว่า เขมรป่าดง มีชุมชนที่สำคัญ คือ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน
ประวัติโดยย่อ หลวงปู่สรวง หลวงปู่สรวงเป็นใคร มาจากไหน อายุเท่าไหร่ ไม่มีใครทราบ รู้แต่ว่า อริยะสงฆ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา 500 พรรษา จำวัดทั่วจักรวาล นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ชาวบ้านนับพันนับหมื่นแห่งดินแดนอิสานใต้ตั้งชื่อให้ท่านว่า ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง ออยเตียนสรูล[พระอริยสงฆ์] หรือเทวดาเล่นดินนั้นเอง .
ที่มา; ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ปัญหาครอบครัวหย่าร้าง.
สังคมสมัยใหม่ช่วงสิบปีที่ผ่านมาจะพบว่าครอบครัวมีขนาดเล็กลงและมีปัญหาหย่าร้างกันมาก หลายครั้งที่เห็นข่าวผัวเมียหย่ากันแล้วฟ้องร้องแย่งลูกกัน หลายครั้งที่เห็นปู่ย่าตายายแย่งหลานจากเขยจากสะไภ้ เห็นข่าวจำพวกนี้ทีไรผมอดนึกไม่ได้ ในฐานะคนที่เคยทำงานเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวมานานราวสิบปี
คนนอกอาจจะมองว่าฝ่ายนั้นฝ่ายนี้สมควรได้เป็นผู้ดูแลเด็ก เพราะรักเด็กมากมายจากภาพที่เห็น แต่ใครจะรู้บ้างว่าในความเป็นจริงนั้นไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ที่เด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง ฝ่ายที่เรียกร้องอยากได้เด็กมาครอบครองดูแล อาจจะไม่ได้รักเด็กอย่างที่แสดงออกก็ได้ เพียงแต่ต้องการเอาเด็กไว้ เพื่อให้คนอื่นเห็นว่า "กูชนะมึง" หรืออาจจะต้องการให้ "มึงต้องมาหากู มาง้อกู ไม่อย่างนั้นมึงจะไม่ได้เจอลูก" หรืออื่นใดก็ดี
แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น ต้องดูด้วยว่าฝ่ายที่อยากได้เด็กไปดูแล มีความสามารถเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้เด็กเติบโตมาเป็นคนที่ไม่เป็นภาระต่อสังคมได้ ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่มีความสามารถแม้จะเลี้ยงตัวเองได้ หรือต้องทำมาหากินจนยากที่จะมีเวลาเพียงพอสำหรับอยู่ดูแลเด็กตามความรักที่ตนเองตั้งใจไว้ หรืออยู่ในพื้นที่ซึ่งสภาพแวดล้อมสุ่มเสี่ยงต่อเด็ก ฯลฯ การเอาเด็กไว้ก็เท่ากับพาเด็กไปอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่ออันตรายต่ออนาคตและชีวิตของเด็กด้วย
เรื่องอย่างนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมองจากมุมของโลกสวยเพียงด้านเดียว การประนีประนอมกัน การไม่เอาเด็กเป็นเครื่องมือต่อรอง จึงน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก
แต่ก็มีพ่อแม่ที่เลี้ยงเด็กภายใต้สภาวะแยกทางกัน และไม่นำเอาเรื่องของฝ่ายตรงข้ามมากดดันหรือกรอกหูเด็กด้วยความเคียดแค้นทุกวัน ก็สามารถทำให้เด็กเติบโตเป็นคนดีได้ครับ
สิทธิพร ศรปัญญา
Administrator
คนนอกอาจจะมองว่าฝ่ายนั้นฝ่ายนี้สมควรได้เป็นผู้ดูแลเด็ก เพราะรักเด็กมากมายจากภาพที่เห็น แต่ใครจะรู้บ้างว่าในความเป็นจริงนั้นไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ที่เด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง ฝ่ายที่เรียกร้องอยากได้เด็กมาครอบครองดูแล อาจจะไม่ได้รักเด็กอย่างที่แสดงออกก็ได้ เพียงแต่ต้องการเอาเด็กไว้ เพื่อให้คนอื่นเห็นว่า "กูชนะมึง" หรืออาจจะต้องการให้ "มึงต้องมาหากู มาง้อกู ไม่อย่างนั้นมึงจะไม่ได้เจอลูก" หรืออื่นใดก็ดี
แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น ต้องดูด้วยว่าฝ่ายที่อยากได้เด็กไปดูแล มีความสามารถเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้เด็กเติบโตมาเป็นคนที่ไม่เป็นภาระต่อสังคมได้ ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่มีความสามารถแม้จะเลี้ยงตัวเองได้ หรือต้องทำมาหากินจนยากที่จะมีเวลาเพียงพอสำหรับอยู่ดูแลเด็กตามความรักที่ตนเองตั้งใจไว้ หรืออยู่ในพื้นที่ซึ่งสภาพแวดล้อมสุ่มเสี่ยงต่อเด็ก ฯลฯ การเอาเด็กไว้ก็เท่ากับพาเด็กไปอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่ออันตรายต่ออนาคตและชีวิตของเด็กด้วย
เรื่องอย่างนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมองจากมุมของโลกสวยเพียงด้านเดียว การประนีประนอมกัน การไม่เอาเด็กเป็นเครื่องมือต่อรอง จึงน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก
แต่ก็มีพ่อแม่ที่เลี้ยงเด็กภายใต้สภาวะแยกทางกัน และไม่นำเอาเรื่องของฝ่ายตรงข้ามมากดดันหรือกรอกหูเด็กด้วยความเคียดแค้นทุกวัน ก็สามารถทำให้เด็กเติบโตเป็นคนดีได้ครับ
สิทธิพร ศรปัญญา
Administrator
แนวทางการใช้ชีวิต ทำอย่างไรจะมีความสุข.
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาก็ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่นนานเกินไป
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
เราควรมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเรา?
๑.อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒.ปลูกต้นไม้รดน้ำต้นไม้
๓.จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๔.จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๕.จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๖.พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๗.คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย
๘.งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาก็ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่นนานเกินไป
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
เราควรมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเรา?
๑.อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒.ปลูกต้นไม้รดน้ำต้นไม้
๓.จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๔.จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๕.จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๖.พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๗.คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย
๘.งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
บันทึกเกี่ยวกับตำนานบ้านไพรพะยอม
หัวข้อที่จะเขียนบทความเกี่ยวกับตำนานบ้านไพรพะยอม
1.เส้นทางสายใหม(พูดถึงการอพยพมาตั้งหมู่บ้าน) (เลน)
2.ตำนานพ่อทองดีปราบผีโพง (เลน)
3.สืบสานตำนานบ้านฮ้าง (เลน)
4.ทายกเลื่อนจอมขมังเวชคุ้มพายัพ (เลน)
5.เจ้กหมั้นมือปราบผีแม่หม้าย (เลน)
6.ปอบหมาดำโค้งทางบ้านแสนคูน (เลน)
7.อาถรรณ์โพงกินเขียดฝั่งหนองหวาย (เลน)
8.ตำนานหนองน้ำแห่งบ้านกระต่ำ (ออ)
9.ผีโพงพ่อแสนคุ้มปู่ตา (เลน)
10.ผีปอบตัวสุดท้ายบ้านหนองควายตาย (เลน)
11.ตำนานสี่ขาหน้าคนป่าไผ่ข้างโรงเรียน (เลน)
12.เกวียนเทียมเล่มสุดท้ายแห่งบ้านไพร (ออ)
13.บั้งไฟแสนสุงเสริฐและประเภณีการเคียนบั้งไฟ (เลน)
14.หลวงปู่มั่นจอมเวทมนต์สายธรรมคุณ (เลน+ออ)
15.เปรตขโมยกินข้าวแห้งหลวงปู่ชา (เลน)
16.ตำนานคนออกแสงแห่งหนองผัก (ชาญ)
17.เจ๊กสำ.หมอธรรมรักษาคุ้มทักษิณ (เลน)
18.อาถรรณ์วิญญาณปู่ตาปกปักษ์รักษาหมู่บ้าน (ออ)
19.ต้นไม้.ผลไม้ที่เคยมีและใกล้สูญหายไปจากหมู่บ้าน (ออ)
1.เส้นทางสายใหม(พูดถึงการอพยพมาตั้งหมู่บ้าน) (เลน)
2.ตำนานพ่อทองดีปราบผีโพง (เลน)
3.สืบสานตำนานบ้านฮ้าง (เลน)
4.ทายกเลื่อนจอมขมังเวชคุ้มพายัพ (เลน)
5.เจ้กหมั้นมือปราบผีแม่หม้าย (เลน)
6.ปอบหมาดำโค้งทางบ้านแสนคูน (เลน)
7.อาถรรณ์โพงกินเขียดฝั่งหนองหวาย (เลน)
8.ตำนานหนองน้ำแห่งบ้านกระต่ำ (ออ)
9.ผีโพงพ่อแสนคุ้มปู่ตา (เลน)
10.ผีปอบตัวสุดท้ายบ้านหนองควายตาย (เลน)
11.ตำนานสี่ขาหน้าคนป่าไผ่ข้างโรงเรียน (เลน)
12.เกวียนเทียมเล่มสุดท้ายแห่งบ้านไพร (ออ)
13.บั้งไฟแสนสุงเสริฐและประเภณีการเคียนบั้งไฟ (เลน)
14.หลวงปู่มั่นจอมเวทมนต์สายธรรมคุณ (เลน+ออ)
15.เปรตขโมยกินข้าวแห้งหลวงปู่ชา (เลน)
16.ตำนานคนออกแสงแห่งหนองผัก (ชาญ)
17.เจ๊กสำ.หมอธรรมรักษาคุ้มทักษิณ (เลน)
18.อาถรรณ์วิญญาณปู่ตาปกปักษ์รักษาหมู่บ้าน (ออ)
19.ต้นไม้.ผลไม้ที่เคยมีและใกล้สูญหายไปจากหมู่บ้าน (ออ)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)