[14/01/2020] ผมอายุ ๕๗ ปีเต็ม ผ่านความอยากมานับครั้งไม่ถ้วน และโดยมากที่มักจะอยากได้อะไร ผมจะต้องได้เกือบทุกครั้ง และทุกครั้งผมก็จะผ่านความยากลำบาก เพราะไม่เคยอยากแล้วได้อะไรมาง่ายๆ
#อยากเป็นครู ก็ต้องดูหนังสืออย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำ เพราะตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าถ้าตกงาน คนที่ลำบากกายคือพ่อแม่ ส่วนคนที่ลำบากใจคือผม ที่ต้องเกาะพ่อแม่กิน
#พอได้เป็นครูก็อยากต่อไปอีก คืออยากให้เงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นเร็วๆ แลกกับการทำงานอย่างจริงจัง หวังว่าถ้าเงินเพิ่มก็จะเป็นสวัสดิการชีวิตได้เป็นอย่างดี
#ครูสมัยก่อน..ถ้าเงินเดือนเพิ่มถึงเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ จะได้เปลี่ยนซี เปลี่ยนระดับ อาจได้สอบเปลี่ยนตำแหน่งได้ด้วยซ้ำ ผมก็เลยอยากกับเขาไปด้วย..เริ่มไม่มีความสุขแล้ว
สมใจอยากเมื่อสอบจากครูเป็นศึกษานิเทศก์ การสอบได้ที่ ๑ ของจังหวัดกาญจนบุรี มิใช่เรื่องง่าย เพราะผมต้องดูหนังสืออย่างเป็นระบบ เพื่อมั่นใจว่าจะต้องได้ให้สมใจอยากสักครั้ง...
การได้เป็นนักวิชาการ..ตำแหน่งศึกษานิเทศก์สมัยนั้น ทำงานบนสำนักงาน ก็ถือว่ามีเกียรติมีหน้ามีตาในสังคมพอสมควร แต่ทำไม?..ผมกลับไม่มีความสุขในงานที่ทำ ต้นเหตุก็คงมาจากความอยากมีอยากเป็นไม่รู้จักจบจักสิ้น จึงหาเรื่องใส่ตัวต่อไป
เวลานั้น..มีเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองตลอด ว่าถ้าเก่งไม่พอหรือรู้ไม่จริง อยู่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ก็คงอยู่ยาก เพราะครูเก่งขึ้นทุกวัน ผู้บริหารรุ่นใหม่เริ่มไฟแรง และศึกษานิเทศก์ตอนนั้นก็เริ่มที่จะไม่ได้ทำงานศึกษานิเทศก์..อย่างแท้จริงเสียแล้ว
ตัดสินใจไปดีกว่า...ความอยากที่จะไปเป็นผู้บริหารครุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา อ่านตำราครอบคลุมทุกหลักสูตร ลงทุนออกข้อสอบเองแล้วทำเอง..
#ปรากฎว่าวันสอบข้อสอบของจังหวัดง่ายดายเสียเหลือเกิน..
ผมบอกตัวเองเสมอว่าการสอบผู้บริหารสถานศึกษาของจังหวัด แล้วได้ที่ ๑ มิใช่เรื่องยาก..แต่การไปทำงานบริหารโรงเรียนที่ไม่มีความรู้เชิงบริหารเลย มันยิ่งยากกว่า
แต่ความอยาก..ก็ทำให้ทะเยอทะยาน..มีความมั่นใจสูงมาก ที่จะนำพาการศึกษาของโรงเรียนไปสู่เป้าหมาย พร้อมที่จะทำงานได้ทุกอย่าง ..ไม่ว่าจะให้สอนหนังสือหรือทำหน้าที่ภารโรงก็ตาม..พูดง่ายๆว่าถึงลำบากก็ยอม
๒๐ ปี..ที่ปณิธานไม่เคยเปลี่ยน ทำได้จริงอย่างที่ตั้งใจ
มองย้อนกลับไป ก็ต้องขอบคุณความอยากที่ทำให้มีวันนี้..วันที่เต็มที่กับทุกเรื่องราว แต่ก็รู้จักที่จะพอมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ตกตะกอนสะท้อนให้เห็นตัวตนก็คือ ไม่ได้คิดอยากเรื่อยเปื่อย แต่เป็นความอยากเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการเริ่มพัฒนาตนเองแบบมีทิศทางที่จับต้องได้
ทุกครั้งที่ความอยาก..ประสบความสำเร็จ..ก็ไม่เคยเย่อหยิ่งหรือเอาเปรียบใคร
ทำงานรับใช้ครูและร่วมพัฒนาการศึกษาไปกับองค์กร แบบถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว
วันนี้..ความอยากเกือบมลายหายไปสิ้น รู้สึกโศกสลด ทั้งที่มีบ้าน มีรถ มียศ มีตำแหน่งแล้ว..จึงถามตัวเองว่า..ทำไม? วันที่เป็นครูจึงไม่ทำตัวให้สุขมากๆและทุกข์ให้น้อยๆ...
เพียงแค่ทำหัวใจเราให้ได้รู้ว่า “อย่าปล่อยใจให้เกิดความรู้สึก อยากได้ อยากมี อยากเป็น จนเกินความพอ” ก็เท่านั้นเอง
หลายคนที่ตกอยู่ในวังวนเช่นนั้น ก็จะเริ่มมีรัก มีชัง และทั้งสุข ทั้งทุกข์ เข้ามาครอบงำใจของคนที่ไปหลงให้ต้องยึดติดยึดมั่น จนตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความอยาก..
ถ้าเราสามารถประคองใจให้อยู่เหนืออำนาจนั้นได้ เราก็จะไม่หลงระเริง และจะคิดได้ว่า..จะมีอาชีพใดตำแหน่งใด ก็สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าได้ทั้งนั้น..
แต่ตอนนั้นคิดไม่ได้ เพราะมันยากแท้ๆ
จึงเป็นบทเรียนเอาไว้สอนลูกหลาน ว่าถ้าเราจะให้ความอยากมันจบ ก็ต้องเริ่มจบที่ใจของเราเอง อย่ารอให้ทุกสิ่งต้องจบลงด้วยความรู้สึกผิดหวังเพราะความอยาก แล้วมันจะกลายเป็นความเจ็บปวดที่หัวใจ...
"ชยันต์ เพชรศรีจันทร์"
#อดีตครูโรงเรียนบ้านไพรพะยอม ปัจจุบันสอนอยู่ที่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี
14-Jan-2020