วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปี2563 เชื้อโควิท19 ระบาด / ฝนดีมาก

    ปี2563 เป็นปีที่พัลลวนอลเวงที่สุด เพราะต้นปีได้มีเชื้อโควิทแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้คนต้องปรับตัวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เศรฐกิจเริ่มไม่ดีตั้งแต่ปี2562 งานที่ทำก็น้อยรายได้ก็น้อยลง ทุกคนใช้ชีวิตอยู่กันอย่างลำบากแต่ก็ต้องทนกันไป ปีนี้ฝนตกต้องตามฤดูกาลระดับดีมาก โดยเฉพาะพื้นที่แถวบ่อวินที่ผมอยู่ฝนตกต่อเนื่องตั่งแต่เดือนมีนาคม-ตุลาคม(กลางเดือน) บางช่วงฝนตกทุกวันเวลาเดียวกันต่อเนื่องกันถึง8วันก็มี

    จนถึงวันที่22/10/2563 ลมหนาวก็เริ่มมาเยือนและมีข่าวว่ายังเหลือพายุฝนเหลืออีก1ลูกที่จะเข้ามาอีกเร็วๆนี้

บันทึกความทรงจำ

สิทธิพร ศรปัญญา

26/10/2020

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

“4 อ. และพอเพียง”

“4 อ. และพอเพียง” หลายๆคนคงคิดว่าผมหมายถึง..อากาศ อาหาร ออกกำลังกาย และการถ่ายอุจจาระที่เป็นเวลาเท่านั้น..จึงจะเรียกว่าเป็นความสุขสุดยอดแล้วในชีวิต..แล้วถ้าจริงตามนี้..ชีวิตที่พอเพียงยังจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่ออยู่ในที่ที่มีอากาศดี ไม่มีฝุ่นละอองที่เป็นมลพิษ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“พอเพียง” เริ่มจากการก็ไม่ยินดียินร้าย ทำตัวตามสบายเมื่อเห็นกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง กาลต่อมาไม่นานนัก ลุกลามมาถึงเมืองเลาขวัญ อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เรียกว่า..รับผลกรรมตามทันและแบ่งปันกันถ้วนหน้า ไม่เลือกร่ำรวยยากดีมีจน ไม่พ้นทุกข์ภัยจากสิ่งแวดล้อม..ส่วนเรื่องอาหารก็ต้องยอมรับกันว่า..ปลอดสารน้อยลงทุกวัน หากต้องการสร้างสรรค์ชีวิต ลิขิตเส้นทางอาหารของตนเอง ด้วยการเลือกทานบ้างก็ดี เช่น ปลูกผักทานเองบ้างก็ไม่เห็นว่าจะต้องเดือดร้อนใคร นอกจากตนเอง..คิดเสียว่า..ได้ออกกำลังกาย ได้กำไรสองต่อ สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับงานอดิเรก แบบที่ไม่ต้องจริงจัง ทำตามกำลังแบบพอดี เท่านี้ก็ “พอเพียง”แล้ว

“4 อ.” ที่ผมจะพูด ถึงต่อไปนี้ ให้ความสุขที่สูงส่งและลึกซึ้งกว่า ในแบบที่ไม่ใช่เฉพาะตน แต่กับคนรอบข้างด้วย จะได้อานิสงส์มากมายเพราะเราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน กับสมาชิกครอบครัว ต้องเลี้ยงดูลูก และอยู่กับคนที่เรารัก หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ และคนที่รู้ใจ ตลอดจนสมาชิกร่วมองค์กรเดียวกัน

ทั้งหลายทั้งปวง..กับทุกคนที่กล่าวมา..ความสุขที่ลึกซึ้งจะเกิดเป็นจริงได้ ถ้าเรารู้จักรับฟังคนที่อยู่ข้างกายเรา หรือ อยูใกล้หัวใจเรามากที่สุด ฟังอย่างสงบนิ่งเท่านี้เอง..ก็เท่ากับเติมเต็มกำลังใจให้แก่กันและกันแล้ว..เราจะพบว่า..ปัญหาที่ทำให้เกิดความทุกข์..ไม่ว่าเขาว่าเรา..เกิดจากการไม่รับฟังกันนั่นเอง..

ดังนั้น..คนสองคน หรือมากกว่าสองคนในครอบครัวและองค์กรของเรา หากมีการรับฟังซึ่งกันและกัน และเติมเต็ม 4 อ.เข้าไปด้วย ผมคิดว่าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีได้อย่างน้อยก็เกิดความไว้วางใจกัน ที่จะก้าวไปด้วยกัน บนเส้นทางแห่งชีวิต ที่ลิขิตได้ด้วย 4 อ...พอเพียง..ดังนี้. 

1) อดทน..ก็แค่อดทนต่ออุปสรรคที่ต้องเผชิญ ปัญหาอุปสรรคเขามีไว้ให้รู้สึกท้าทาย ให้ชีวิตมีรสชาติ ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจจนเกินพอดี

2) ออมใจ..คือออมใจด้วยใส่ใจสม่ำเสมอ ซึ่งก็มักจะขาดกันมากในยุคสมัยนี้ ว่ากันตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ อะไรก็ดีหมด ยกเว้นการใส่ใจซึ่งกันและกัน

3) เอื้ออาทร..ด้วยการห่วงใยช่วยเหลือ..ไม่ว่าจะกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ ครอบครัวหรือประเทศชาติ หากขาดจิตอาสา ไม่นำพาซึ่งการเอื้ออาทร..ก็ไม่เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน

4) อภัย..และให้โอกาสในทุกความผิดพลาด พูดง่ายแต่เวลาทำจริงก็ไม่ยาก เพราะมันฝึกกันได้ ให้โอกาสคนได้ปรับปรุงและพัฒนาตนเอง ผิดจึงเป็นครู ที่ให้บทเรียนใหม่ๆเสมอ

ทำไม?..ถึงบอกว่า 4 อ.พอเพียง มีความสำคัญและนำความสุขอย่างแท้จริงมาให้ชีวิตเรา..ก็เพราะชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นนัก อย่ามัวเสียเวลาไปกับความเกลียด หรือความโกรธใครในชีวิต มันยุ่งยากและทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ

จงรักษา..4 อ.นี้ไว้ คู่กายและคู่ใจเรา.เพื่อทำให้คู่กรรมข้างกายเราเกิดความสุขในชีวิตปัจจุบันโดยที่ไม่ต้องให้พ้นไปจากชีวิตของเรา.

ชยันต์ เพชรศรีจันทร์ [27/01/2020]
Cradit; https://web.facebook.com/chayan.phetsrijan

   
  

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

ในสิ่งดี..ย่อมมีสิ่งไม่ดี [ครูชยันต์]

"ในสิ่งดี..ย่อมมีสิ่งไม่ดี"..บางคนอาจไม่เข้าใจ แต่หลายคนก็จะประสบพบเจอเข้ากับตัวเอง..คงเป็นคำพูดประมาณว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นให้มันมากเกินไป.. อย่างน้อยก็เตือนว่า..อย่าติดดี..ให้มากนัก ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง จะได้ไม่ต้องเสียใจและให้ท่องจำเอาไว้ 

ความพอดี..งดงามเสมอ แต่บางทีผมก็เผลอ..ทำในสิ่งดีๆ ให้โรงเรียนในวันหยุดจนเพลิน เกินเลยไปจนถึงมืดค่ำ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความสลัวลาง ฟ้าไม่หมดแสงสว่างก็ไม่ยอมกลับบ้าน

                 
รู้สึกไม่ดีเลย..ที่ลืมตัวว่าชราภาพไปมากมายแล้ว มิใช่เด็กหนุ่มแบบเมื่อก่อน กำลังวังชาถดถอย มีแต่แรงใจเท่านั้นที่ยืนหยัดสู้ต่อไม่ยอมท้อถอย.. ในสิ่งดีที่ผมมี ก็คือ ผมทำงานได้ตามเป้าหมายต่างๆในชีวิต และมีความพยายามที่จะพุ่งชนตรงไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้...อันนี้ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร... เพราะทุกสิ่งมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเสมอ หากผมใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไปและนิ่งพอ ก็จะได้เรียนรู้และวางแผนที่จะพุ่งไปอย่างมีทิศทาง

ผมก็จะไม่พลาดเป้า และจะบรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยที่ไม่เสียเวลา และไม่เสียกำลังกายกำลังใจ เพียงแค่รู้เท่าทันตัวเองและทำสิ่งดีๆอย่างมีทิศทางเท่านั้น นับว่ายังดีที่ไม่ต้องการความเด่นดัง..แค่หวังเล็กๆว่า ผู้ปกครองผู้ซึ่งเป็นลูกค้าคนสำคัญ จะเชื่อมั่นและศรัทธาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ปกครองนอกเขตบริการที่มีผลต่อปริมาณของเด็กที่จะเพิ่มขึ้น..

ผมไม่ได้คาดหวังเลิศเลอ..และไม่ได้กังวลใจ แต่พื้นฐานของความต้องการจำเป็น มันมีทางที่เป็นไปได้ ถ้าโรงเรียนสะอาด สวยงามสดใส และร่มรื่นปลอดภัย ไม่ว่าใครก็อยากส่งลูกมาเรียน..แม้ว่าจะไกลแค่ไหนก็ตาม.. ในสิ่งที่ดีที่เห็นและเป็นอยู่ ผมไม่ได้ทำเพื่อเอาใจเจ้านายหรือศึกษานิเทศก์ ผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบุคคลเหล่านี้ จะมานิเทศติดตามหรือตรวจเยี่ยมในวันไหน

เท่าที่รู้เวลาที่เหลือในภาคเรียนนี้ไม่มีปฏิทินหรือกำหนดการด้วยซ้ำ ผมไม่มีโครงการส่งโรงเรียนเข้าประกวดประชันขันแข่ง และโรงเรียนไม่ได้อยู่ในโครงการสถานศึกษาที่มีดีในประเภทต่างๆ ผมจึงทำให้ดีได้โดยที่ไม่ต้องติดในเงื่อนไข..

สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมต้องการทำให้โรงเรียนดีเป็นปัจจุบัน ให้สมกับที่ผมเป็น “ข้าราชการ” ทำงานในโรงเรียนที่เป็นสถานที่ “ราชการ” จึงต้องทำงานแบบไม่ว่างเว้น

ผมโชคดีที่ไม่มีอาการอยากโชว์อยากเด่นดังแต่อย่างใด ถ้าเป็นเช่นนั้น กิจกรรมดีๆคงไม่เกิดขึ้นเป็นจริงได้ จะเป็นได้ก็แค่โชว์ของแบบขอไปที เมื่อจบโชว์ก็ทิ้งขว้างไม่ยั่งยืน ผมคิดว่า..โรงเรียนขนาดเล็กไม่ควรจะคิดเช่นนั้น รวมทั้ง..ทุกองค์กรและทุกชุมชน..ก็ต้องจริงจังกับการทำในสิ่งที่ดี มิใช่ทำแบบมีเงื่อนไข ถ้าทำเพียงให้เด่นดัง บ้านเมืองสังคมจะย่ำอยู่กับที่อย่างแน่นอน..

ในความรู้สึกส่วนตัวผม ในสิ่งดี..ย่อมมีสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราทำเกินพอดีและหวังแต่ผลประโยชน์จนเกินงาม ทำดีเพื่อหวังรางวัล ทำดีเพื่อเอาเปรียบคนอื่น..อันนี้ก็เรียกว่าดีไม่จริง..ผมจึงต้องเตือนตนด้วยตนเองอยู่เสมอ..

“เมื่อเราคิดดี..ความดีนั้นก็อยู่กับเรา..เมื่อเราพูดดี..ความดีนั้นก็อยู่กับใจเรา..เมื่อเราทำดี..ความดีนั้นก็อยู่กับตัวเรา..ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่ที่เรา..หาใช่ผู้อื่นไม่...”

ครูชยันต์ เพชรศรีจันทร์
19/01/2020

#ความอยาก...[บทควมดีๆโดย..ครูชยันต์]

[14/01/2020] ผมอายุ ๕๗ ปีเต็ม ผ่านความอยากมานับครั้งไม่ถ้วน และโดยมากที่มักจะอยากได้อะไร ผมจะต้องได้เกือบทุกครั้ง และทุกครั้งผมก็จะผ่านความยากลำบาก เพราะไม่เคยอยากแล้วได้อะไรมาง่ายๆ

#อยากเป็นครู ก็ต้องดูหนังสืออย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำ เพราะตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าถ้าตกงาน คนที่ลำบากกายคือพ่อแม่ ส่วนคนที่ลำบากใจคือผม ที่ต้องเกาะพ่อแม่กิน

#พอได้เป็นครูก็อยากต่อไปอีก คืออยากให้เงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นเร็วๆ แลกกับการทำงานอย่างจริงจัง หวังว่าถ้าเงินเพิ่มก็จะเป็นสวัสดิการชีวิตได้เป็นอย่างดี

   
  

#ครูสมัยก่อน..ถ้าเงินเดือนเพิ่มถึงเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ จะได้เปลี่ยนซี เปลี่ยนระดับ อาจได้สอบเปลี่ยนตำแหน่งได้ด้วยซ้ำ ผมก็เลยอยากกับเขาไปด้วย..เริ่มไม่มีความสุขแล้ว สมใจอยากเมื่อสอบจากครูเป็นศึกษานิเทศก์ การสอบได้ที่ ๑ ของจังหวัดกาญจนบุรี มิใช่เรื่องง่าย เพราะผมต้องดูหนังสืออย่างเป็นระบบ เพื่อมั่นใจว่าจะต้องได้ให้สมใจอยากสักครั้ง...

การได้เป็นนักวิชาการ..ตำแหน่งศึกษานิเทศก์สมัยนั้น ทำงานบนสำนักงาน ก็ถือว่ามีเกียรติมีหน้ามีตาในสังคมพอสมควร แต่ทำไม?..ผมกลับไม่มีความสุขในงานที่ทำ ต้นเหตุก็คงมาจากความอยากมีอยากเป็นไม่รู้จักจบจักสิ้น จึงหาเรื่องใส่ตัวต่อไป

เวลานั้น..มีเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองตลอด ว่าถ้าเก่งไม่พอหรือรู้ไม่จริง อยู่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ก็คงอยู่ยาก เพราะครูเก่งขึ้นทุกวัน ผู้บริหารรุ่นใหม่เริ่มไฟแรง และศึกษานิเทศก์ตอนนั้นก็เริ่มที่จะไม่ได้ทำงานศึกษานิเทศก์..อย่างแท้จริงเสียแล้ว ตัดสินใจไปดีกว่า...ความอยากที่จะไปเป็นผู้บริหารครุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา อ่านตำราครอบคลุมทุกหลักสูตร ลงทุนออกข้อสอบเองแล้วทำเอง..

#ปรากฎว่าวันสอบข้อสอบของจังหวัดง่ายดายเสียเหลือเกิน.. ผมบอกตัวเองเสมอว่าการสอบผู้บริหารสถานศึกษาของจังหวัด แล้วได้ที่ ๑ มิใช่เรื่องยาก..แต่การไปทำงานบริหารโรงเรียนที่ไม่มีความรู้เชิงบริหารเลย มันยิ่งยากกว่า

แต่ความอยาก..ก็ทำให้ทะเยอทะยาน..มีความมั่นใจสูงมาก ที่จะนำพาการศึกษาของโรงเรียนไปสู่เป้าหมาย พร้อมที่จะทำงานได้ทุกอย่าง ..ไม่ว่าจะให้สอนหนังสือหรือทำหน้าที่ภารโรงก็ตาม..พูดง่ายๆว่าถึงลำบากก็ยอม ๒๐ ปี..ที่ปณิธานไม่เคยเปลี่ยน ทำได้จริงอย่างที่ตั้งใจ มองย้อนกลับไป ก็ต้องขอบคุณความอยากที่ทำให้มีวันนี้..วันที่เต็มที่กับทุกเรื่องราว แต่ก็รู้จักที่จะพอมากขึ้น 

สิ่งหนึ่งที่ตกตะกอนสะท้อนให้เห็นตัวตนก็คือ ไม่ได้คิดอยากเรื่อยเปื่อย แต่เป็นความอยากเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการเริ่มพัฒนาตนเองแบบมีทิศทางที่จับต้องได้ ทุกครั้งที่ความอยาก..ประสบความสำเร็จ..ก็ไม่เคยเย่อหยิ่งหรือเอาเปรียบใคร

ทำงานรับใช้ครูและร่วมพัฒนาการศึกษาไปกับองค์กร แบบถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว วันนี้..ความอยากเกือบมลายหายไปสิ้น รู้สึกโศกสลด ทั้งที่มีบ้าน มีรถ มียศ มีตำแหน่งแล้ว..จึงถามตัวเองว่า..ทำไม? วันที่เป็นครูจึงไม่ทำตัวให้สุขมากๆและทุกข์ให้น้อยๆ... เพียงแค่ทำหัวใจเราให้ได้รู้ว่า “อย่าปล่อยใจให้เกิดความรู้สึก อยากได้ อยากมี อยากเป็น จนเกินความพอ” ก็เท่านั้นเอง

หลายคนที่ตกอยู่ในวังวนเช่นนั้น ก็จะเริ่มมีรัก มีชัง และทั้งสุข ทั้งทุกข์ เข้ามาครอบงำใจของคนที่ไปหลงให้ต้องยึดติดยึดมั่น จนตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความอยาก..


ถ้าเราสามารถประคองใจให้อยู่เหนืออำนาจนั้นได้ เราก็จะไม่หลงระเริง และจะคิดได้ว่า..จะมีอาชีพใดตำแหน่งใด ก็สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าได้ทั้งนั้น.. แต่ตอนนั้นคิดไม่ได้ เพราะมันยากแท้ๆ

จึงเป็นบทเรียนเอาไว้สอนลูกหลาน ว่าถ้าเราจะให้ความอยากมันจบ ก็ต้องเริ่มจบที่ใจของเราเอง อย่ารอให้ทุกสิ่งต้องจบลงด้วยความรู้สึกผิดหวังเพราะความอยาก แล้วมันจะกลายเป็นความเจ็บปวดที่หัวใจ...

"ชยันต์ เพชรศรีจันทร์" #อดีตครูโรงเรียนบ้านไพรพะยอม ปัจจุบันสอนอยู่ที่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี
14-Jan-2020